โดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง โดยชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 295 คะแนน หลังจากการหาเสียงที่ดุเดือดกับกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ขณะนี้ ความสนใจได้เปลี่ยนไปที่การที่รัฐบาลของทรัมป์อาจมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมฟินเทคในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แม้ว่าฟินเทคจะไม่เป็นหัวข้อหลักในการโต้วาทีหาเสียง แต่แนวทางการกำกับดูแลที่แตกต่างกันระหว่างทรัมป์และแฮร์ริสอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ ผู้เชี่ยวชาญในวงการฟินเทคแสดงความเห็นว่าการบริหารของทรัมป์อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ เช่น สกุลเงินดิจิทัลและกฎระเบียบ
หนึ่งในกลุ่มย่อยที่น่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคืออุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัล ภายใต้การบริหารของทรัมป์ มีความคาดหวังว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะผ่อนคลายกฎเกณฑ์ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมมากขึ้น
มูลูกู ซาโนห์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง MANSA ซึ่งเป็นระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) กล่าวว่า “ถ้าพรรครีพับลิกันทำตามคำสัญญา นี่จะเป็นประโยชน์สำหรับวงการ DeFi พวกเขามุ่งมั่นที่จะปกป้องสิทธิในสินทรัพย์ดิจิทัลและต่อต้านสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง ซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับนวัตกรรมบล็อกเชนมากขึ้น”
แนวโน้มเชิงบวกนี้ได้รับการสนับสนุนจากอมร์ อาดาวี ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอร่วมของ MetaWealth ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้โทเค็น: “แนวทางสนับสนุนคริปโตของพรรครีพับลิกันสามารถช่วยส่งเสริมการใช้งานโทเค็นในสินทรัพย์ในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างมาก กฎระเบียบที่ชัดเจนในการปกป้องสิทธิในสินทรัพย์ดิจิทัลจะช่วยให้ผู้ลงทุนในสหรัฐเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น”
ในขณะเดียวกัน ตลาดคริปโตยังได้รับแรงกระตุ้นจากชัยชนะของทรัมป์ ชิวาม ธักราล ซีอีโอของ BuyUcoin ซึ่งเป็นตลาดแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในอินเดีย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า: “หลังจากชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นเกิน 76,000 ดอลลาร์ เป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ Ethereum พุ่งขึ้นเกิน 2,839 ดอลลาร์ และ Solana ใกล้แตะ 190 ดอลลาร์”
ผู้เชี่ยวชาญเช่นไรอัน ลี หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของ Bitget Research ยังคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจทำให้กองทุนขนาดใหญ่เข้าสู่ตลาดคริปโต เนื่องจากนักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น การลงทุนใน Bitcoin ETF อาจเพิ่มขึ้นในวันซื้อขายถัดไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถาบันการเงินยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่ออนาคตของตลาดคริปโต
นอกจากนี้ โมนิกา อีตัน ซีอีโอของ Chargebacks911 บริษัทจัดการข้อพิพาททางการเงิน ได้แสดงความเห็นว่าการลดการกำกับดูแลภายใต้ทรัมป์อาจไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เธอกล่าวว่าองค์กรควรใช้เครื่องมือใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับปัญหาการฉ้อโกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการกับข้อพิพาททางการเงินที่สูญเสียเงินไปกว่า 243 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
เบนจามิน อับราฮัม ซีอีโอของ Okoora สตาร์ทอัพฟินเทค ยังกล่าวถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบริษัทที่มีธุรกิจข้ามพรมแดน โดยเน้นว่าความผันผวนของค่าเงินภายใต้ทรัมป์อาจสร้างความเสี่ยงให้กับบริษัทเหล่านี้ การเฮดจ์ค่าเงินเพื่อป้องกันความผันผวนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
แม้ว่าจะมีความผันผวนในตลาดการเงิน แต่บางคนก็ยังคาดหวังว่าการบริหารของทรัมป์จะมีผลดีต่อเศรษฐกิจ โรหิต อโรรา ซีอีโอของ Biz2Credit กล่าวว่าทรัมป์มีความมุ่งมั่นที่จะลดภาวะเงินเฟ้อ และคาดว่าเขาจะลดโปรแกรมการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อลดหนี้และช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น
