นักสู้ระดับตำนานจาก UFC ได้วิจารณ์องค์กรอย่างหนักเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมในเรื่องค่าตอบแทนของนักสู้ พร้อมตั้งคำถามว่าผู้บริหาร MMA อย่าง ดานา ไวท์ ได้รับเงินจากแต่ละอีเวนต์มากแค่ไหน เมื่อเทียบกับนักสู้ที่ต้องขึ้นสังเวียน
เรื่องค่าตอบแทนของนักสู้กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการ MMA มาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับนักมวยระดับแชมป์ที่มักได้รับเงินก้อนโตจากการชกแต่ละครั้ง
แรนดี้ คูตูร์ อดีตแชมป์สองรุ่น และหนึ่งในผู้ที่ถูกยกย่องให้เข้าสู่หอเกียรติยศของ UFC เคยมีปัญหากับองค์กรนี้มาแล้วหลายครั้ง เขามักออกมาสนับสนุนนักสู้ให้ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิและเข้าใจในสิ่งที่ควรได้รับ เขาเป็นหนึ่งในนักสู้ที่กล้าท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ ซึ่งส่งผลให้เขาเหมือนถูกกีดกันออกจาก UFC
ในปัจจุบัน คูตูร์ทำงานกับองค์กร PFL และยังคงเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งขันสำหรับนักสู้ที่เลือกจะก้าวออกมาทำเพื่อตัวเอง เช่น ฟรานซิส เอ็นกานู ที่ตัดสินใจทดลองตลาดฟรีเอเจนต์และลงนามในข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเอง
ระหว่างการพูดคุยในรายการ JAXXON PODCAST ของ ควินตัน ‘แรมเพจ’ แจ็คสัน คูตูร์ได้พูดถึงปัญหาโครงสร้างของสัญญาที่นักสู้เซ็นกับ UFC เขาอธิบายว่าเมื่อนักสู้เซ็นสัญญากับองค์กร พวกเขาต้องเสียสิทธิส่วนใหญ่ไปและไม่สามารถเพิ่มรายได้ให้ตัวเองได้อย่างเต็มที่:
“[พวกเขามี] สัญญาที่แย่มาก มีข้อจำกัดเยอะ ไม่มีความโปร่งใสในกีฬานี้เลย มีใครรู้บ้างไหมว่าผู้จัดงานเหล่านี้ทำเงินได้เท่าไหร่จากแต่ละอีเวนต์? แต่ผมบอกคุณได้ว่านักสู้ทำเงินได้เท่าไหร่ มันไม่ถึง 20% ด้วยซ้ำ ลองหากีฬามืออาชีพอื่นๆ ในสังคมเราที่เป็นแบบนี้สิ มันไร้สาระจริงๆ”
นอกจากนี้ คูตูร์ยังเปิดเผยสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจเกี่ยวกับโครงสร้างของสัญญา UFC ในตอนแรก ภายใต้ข้อกำหนดของสัญญา ‘The Natural’ จะต้องได้รับอนุญาตจากดานา ไวท์ หากเขาต้องการรับข้อเสนองานจากภายนอกองค์กร เขาเล่าว่าเรื่องสิทธิในการใช้ชื่อเสียงและภาพลักษณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาขัดแย้งกับ UFC:
“พวกเขาจะครอบครองสิทธิในทุกด้านของผมไปตลอดชีวิต และผู้จัดการของผมในตอนนั้นได้ให้ความรู้เกี่ยวกับคุณค่าของสิทธินั้นและสิ่งที่มันหมายถึง ผมต้องขออนุญาตจากดานา ไวท์ เพื่อเล่นหนัง เขียนหนังสือ หรือแม้กระทั่งอยู่ในเกมวิดีโอ ทุกสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการต่อสู้ในกรงให้พวกเขา และมันไม่มีเหตุผลสำหรับผมเลย”