ฟีฟ่าได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ซาอุดีอาระเบียจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2034 ซึ่งถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซียในวงการกีฬาระดับโลก แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนของประเทศก็ตาม
ในขณะเดียวกัน การประชุมเสมือนจริงขององค์กรฟุตบอลโลกยังยืนยันว่าการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2030 จะถูกจัดขึ้นร่วมกันในโมร็อกโก สเปน และโปรตุเกส โดยมีการแข่งขันอีกสามเกมที่จะจัดขึ้นในทวีปอเมริกาใต้ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของฟุตบอลโลกครั้งแรกในอุรุกวัย
การเสนอตัวของซาอุดีอาระเบียเพื่อเป็นเจ้าภาพปี 2034 ได้รับการอนุมัติอย่างไม่มีข้อโต้แย้งจากสมาชิก 211 ชาติของฟีฟ่า เนื่องจากไม่มีผู้เสนอรายอื่นเข้ามาแข่งขัน
“วันนี้เป็นวันที่เราภูมิใจและพร้อมเชิญชวนคนทั้งโลกมาที่ซาอุดีอาระเบีย” อับดุลอาซิซ บิน ตูรกี บิน ไฟซาล อัล ซาอูด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาของซาอุดีอาระเบียกล่าว “เราตั้งใจที่จะสร้างประสบการณ์ฟุตบอลโลกที่ยอดเยี่ยมในประเทศของเรา”
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้ออกมาประณามทันที โดยระบุว่าการให้สิทธิ์การจัดการแข่งขันแก่ซาอุดีอาระเบียเป็นการเสี่ยงต่อชีวิตของแรงงานก่อสร้าง และ “เป็นช่วงเวลาที่อันตรายอย่างยิ่ง”
ฟีฟ่าได้ใช้หลักการหมุนเวียนทวีปในการจัดฟุตบอลโลก ซึ่งทำให้เฉพาะประเทศในเอเชียหรือโอเชียเนียเท่านั้นที่สามารถเสนอชื่อเข้ามาสำหรับปี 2034 โดยซาอุดีอาระเบียกลายเป็นผู้เสนอรายเดียวหลังจากที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซียถอนตัวไป
การตัดสินใจนี้มีเสียงวิจารณ์ว่า ฟีฟ่าให้เวลาเพียงหนึ่งเดือนในการส่งใบสมัครเมื่อปีที่แล้ว นำไปสู่ข้อสรุปว่าซาอุดีอาระเบียได้เปรียบและได้รับสิทธิ์จัดการแข่งขัน หลังจากภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียเพิ่งจัดฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดในกาตาร์ปี 2022
มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุดีอาระเบีย ได้ใช้กีฬาเป็นเครื่องมือสร้างภาพลักษณ์ระดับโลก แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าเขากำลังใช้กีฬาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นสิทธิมนุษยชนในประเทศ
ฟีฟ่ารับทราบถึงคำวิจารณ์และข้อกังวล โดยประธานฟีฟ่า จานนี่ อินฟานติโน กล่าวว่า “เราต้องการสร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคม” พร้อมระบุว่าการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกคือความรับผิดชอบในการพัฒนาสิทธิมนุษยชนและสังคมในทางที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังคงเตือนถึงความเสี่ยงต่างๆ ในซาอุดีอาระเบีย เช่น การประหารชีวิตจำนวนมาก การทรมาน และข้อจำกัดต่อสิทธิสตรีและเสรีภาพในการแสดงออก
สำหรับฟุตบอลโลกปี 2030 โมร็อกโก สเปน และโปรตุเกสจะเป็นเจ้าภาพหลัก โดยจะมีเกมเปิดตัวบางส่วนในทวีปอเมริกาใต้ รวมถึงในอุรุกวัย อาร์เจนตินา และปารากวัย เพื่อเป็นเกียรติแก่ประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน
สนามแข่งขันหลักคาดว่าจะอยู่ในสเปน ซึ่งมีสนามเตรียมไว้ถึง 11 สนามจากทั้งหมด 20 สนามที่เสนอ นอกจากนี้ โมร็อกโกจะกลายเป็นประเทศที่สองในทวีปแอฟริกาที่ได้จัดฟุตบอลโลก หลังจากแอฟริกาใต้เคยเป็นเจ้าภาพในปี 2010
