ผู้สร้าง Bitcoin เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาความปลอดภัยของบล็อกเชนต่อการคุกคามจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมไว้ตั้งแต่ปี 2010
Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin (BTC) ถือครอง BTC มากกว่า 1.1 ล้านเหรียญผ่านกระเป๋าเงินสาธารณะ 22 บัญชี ซึ่งการถือครองเหล่านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวมานานกว่าสิบปี แต่ก็ยังเป็นที่จับตามองอย่างมาก เพราะหากวันหนึ่งมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น อาจทำให้ราคาของ Bitcoin ผันผวนอย่างรุนแรง ล่าสุด การประกาศของ Google ว่ากำลังพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถแก้ปัญหาที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้เวลาหลายพันล้านปีได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ได้ปลุกกระแสความกังวลถึงความปลอดภัยของสินทรัพย์ Bitcoin ของ Satoshi
ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความเสี่ยงที่การพัฒนานี้อาจส่งผลต่อบล็อกเชนของ Bitcoin และสินทรัพย์ BTC ของ Satoshi
จากการศึกษาของ Sergio Demian Lerner ในบทความเรื่อง “The Well Deserved Fortune of Satoshi Nakamoto, Bitcoin creator, Visionary and Genius” พบว่า Satoshi ถือครอง Bitcoin มากกว่า 1.1 ล้านเหรียญ กระจายอยู่ในกระเป๋าเงินสาธารณะ 22 บัญชี ซึ่งมูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin เหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 107 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 97,600 ดอลลาร์ต่อ BTC
กระเป๋าเงินของ Satoshi ไม่ได้มีการใช้งานตั้งแต่ปี 2010 แต่ข้อมูลเหล่านี้สามารถมองเห็นได้บนบล็อกเชน Emin Gün Sirer ผู้ร่วมก่อตั้ง Ava Labs ได้กล่าวว่า การพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ควอนตัมโดย Google อาจเป็นภัยคุกคามต่อสินทรัพย์ BTC ของ Satoshi
Sirer อธิบายในโพสต์บน X ว่า Bitcoin ที่ถูกขุดในช่วงแรกเริ่ม เช่น ยุคของ Satoshi ใช้รูปแบบ Pay-To-Public-Key (P2PK) ซึ่งเผยให้เห็น Public Key ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถใช้เวลาในการถอดรหัสเพื่อเข้าถึงสินทรัพย์ได้
แม้ว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะยังไม่มีผลกระทบในทันทีต่อคริปโตเคอร์เรนซี แต่เหรียญที่ถูกขุดในช่วงแรกๆ อาจเสียเปรียบ เนื่องจากอาชญากรไซเบอร์อาจใช้พลังการคำนวณนี้ถอดรหัสและเข้าถึงกระเป๋าเงินที่ไม่ได้ใช้งานมานาน
Sirer ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบ P2PK นี้ไม่ได้ถูกใช้งานในกระเป๋าเงิน Bitcoin รุ่นใหม่ๆ ซึ่งหมายความว่ากระเป๋าเงินเก่าและเหรียญ BTC ที่ถูกขุดในช่วงแรกเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงมากที่สุด
ในฟอรั่ม Bitcoin Talk เมื่อปี 2010 Satoshi ได้พูดถึงความเป็นไปได้ของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมไว้แล้ว
Satoshi กล่าวว่า “ถ้า SHA-256 ถูกทำลายจนหมด เราน่าจะสามารถตกลงกันได้ว่าอะไรคือบล็อกเชนที่ถูกต้องก่อนที่จะเกิดปัญหา และใช้ฟังก์ชันแฮชใหม่เพื่อดำเนินการต่อจากตรงนั้น”
SHA-256 เป็นฟังก์ชันแฮชที่ใช้ในกระบวนการขุด Bitcoin เพื่อยืนยันธุรกรรมและจัดการที่อยู่สาธารณะ มันช่วยรักษาความสมบูรณ์ของบล็อกในระบบบล็อกเชน โดย Satoshi แนะนำว่าชุมชนควรหาข้อตกลงเกี่ยวกับบล็อกเชนที่ถูกต้องก่อนที่ความสมบูรณ์ของระบบจะถูกทำลาย
Ryan Lee นักวิเคราะห์จาก Bitget Research ระบุว่า ยังไม่มีภัยคุกคามในทันทีจากเทคโนโลยีใหม่นี้
“ชิป Willow ของ Google ซึ่งมีความสามารถ 105 qubits สามารถแก้ปัญหาในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปต้องใช้เวลาหลายพันล้านปี แม้จะเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ แต่ก็ยังไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยทางการเข้ารหัสของ Bitcoin ในขณะนี้”
ชุมชนคริปโตและผู้ถือครอง Bitcoin ใน X มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน บางคนมองว่าการแช่แข็งสินทรัพย์ของ Satoshi นั้นไม่ถูกต้อง เพราะจะนำไปสู่การเซ็นเซอร์และขัดต่อหลักการพื้นฐานของความโปร่งใสในบล็อกเชน ขณะที่บางคนมองว่า การเข้าถึงกระเป๋าเงินเก่าที่ไม่ได้ใช้งานนั้นเป็น “ฟีเจอร์” ไม่ใช่ “ข้อผิดพลาด”
Federico Ulfo ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Flow AI กล่าวในโพสต์บน X ว่า: “ทำไมต้องแช่แข็งสินทรัพย์ของ Satoshi? การเข้าถึงกระเป๋าเงินรูปแบบเก่าเป็นฟีเจอร์ ไม่ใช่ข้อผิดพลาด ในอีก 100 ปีข้างหน้า มันอาจเป็นเหมือนการค้นพบเรือสำเภาที่เต็มไปด้วยทองคำ”
ในทางกลับกัน Charlie Thompson นักวิจัย Ethereum เตือนว่า เกือบ 40% ของ Bitcoin ที่เก็บไว้ในกระเป๋าเงินที่มี Public Key เปิดเผยกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างร้ายแรง
Thompson อธิบายในโพสต์บน Medium ว่า คอมพิวเตอร์ควอนตัมทรงพลังสามารถลดเวลาที่ใช้ในการถอดรหัส Private Key จาก Public Key ลงได้
“ที่อยู่ BTC ใดๆ ที่เคยทำธุรกรรม จะมี Public Key ที่เปิดเผย และเหรียญ 1 ล้านเหรียญของ Satoshi (…) ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการโจมตีประเภทนี้” Thompson กล่าว
เขาเสริมว่า กว่า 40% ของยอดคงเหลือ Bitcoin ที่ถือโดยกระเป๋าที่มี Public Key เปิดเผยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
