ตลาดคริปโตในปีนี้เปรียบเสมือนรถไฟเหาะที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะเมื่อราคา Bitcoin พุ่งขึ้นกว่า 130% และทะลุระดับ $100,000 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ช่วงต้นเดือนธันวาคม แม้ว่าราคาปัจจุบันจะอยู่ใกล้ระดับจิตวิทยานี้ แต่นักวิเคราะห์ตลาดยังคงมั่นใจว่าการทะลุผ่านที่แข็งแกร่งและการเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
อะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้ Bitcoin และเหรียญคริปโตอื่นๆ เติบโตในปี 2024? ปัจจัยสำคัญคือการเปิดตัวกองทุน Bitcoin ETF ในเดือนมกราคม ซึ่งได้รับความสำเร็จอย่างล้นหลาม การเปิดตัวนี้ดึงดูดเงินลงทุนจากสถาบันหลายพันล้านดอลลาร์เข้าสู่ตลาดคริปโต ทำให้เกิดการขยายตัวในพื้นที่ที่ไม่เคยสำรวจมาก่อน นอกจากนี้ การเปิดตัวกองทุน Ethereum (ETH) ETF ก็มีบทบาทเช่นกัน แม้จะมีอิทธิพลน้อยกว่า และยังมีการพัฒนากองทุนในรูปแบบเดียวกันสำหรับ XRP และ Solana ที่กำลังจะตามมา
ไม่ใช่แค่ Bitcoin เท่านั้นที่สร้างความฮือฮา เหรียญ Altcoins อย่าง Ethereum, XRP, BNB, Solana และ Tron ก็พุ่งขึ้นอย่างมาก แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคือการพุ่งขึ้นของเหรียญมีม เช่น Dogecoin, Shiba Inu และแม้กระทั่ง Fartcoin
อีกปัจจัยสำคัญคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่ง Donald Trump ได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าเขาเป็น “เพื่อนแท้” ของคนรักคริปโต หลังจากที่เขาชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ตลาดก็ตอบสนองด้วยความตื่นเต้น ราคาคริปโตพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว
Trump ได้แต่งตั้ง Elon Musk ซึ่งสนับสนุนการหาเสียงของเขาอย่างจริงจังและใจกว้าง เข้ามาดูแลการลดงบประมาณรัฐบาลลง 2 ล้านล้านดอลลาร์ แถมยังตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อว่า D.O.G.E. หรือ Department of Government Efficiency เป็นการตั้งชื่อที่ดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจจากเหรียญ Dogecoin อีกครั้ง
ในยุโรป กฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโต (MiCA) ถูกนำมาใช้ในช่วงกลางปี 2024 โดยเริ่มต้นจากกฎสำหรับ Stablecoins และจะครอบคลุมธุรกรรมอื่นๆ ในปลายปี กฎเหล่านี้ส่งผลให้แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตต้องปรับตัว โดย Binance, Coinbase และ Bitstamp ได้ถอดเหรียญ Stablecoins ที่ไม่สอดคล้องกับ MiCA ออก นอกจากนี้ ผู้ออกเหรียญ Stablecoins เช่น Circle ก็ต้องพัฒนาเหรียญที่สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรปเพื่อรองรับการซื้อขายเหรียญ Altcoins ต่อไป
ไซปรัสซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของตลาด CFDs (Contracts for Difference) ก็กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลายบริษัทเช่น FXTM และ HYCM ได้ออกจากเกาะนี้แล้ว ขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็กำลังพิจารณาที่จะยอมสละใบอนุญาตในไซปรัส อย่างไรก็ตาม ดูไบกลับกลายเป็นจุดหมายใหม่สำหรับบริษัทโบรกเกอร์หลายแห่ง ที่ได้จัดตั้งสำนักงานในเมืองนี้และได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ในขณะเดียวกัน สหราชอาณาจักรยังคงเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญ แม้ว่ากฎระเบียบที่เข้มงวดของ FCA จะเพิ่มต้นทุนและทำให้การดำเนินงานซับซ้อนขึ้น แต่โบรกเกอร์หลายรายยังคงมองว่ามันเป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
ตลาด CFDs ในยุโรปและออสเตรเลียเริ่มอิ่มตัว แต่ภูมิภาคเอเชียกลับเติบโตอย่างโดดเด่น ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 เอเชียคิดเป็น 70.3% ของการเข้าชมเว็บไซต์ CFD ทั่วโลก โดยเฉพาะอินเดียซึ่งมีบทบาทสำคัญ ขณะที่ไทยและเวียดนามก็ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญ
Revolut เข้าสู่ตลาด CFDs ในยุโรปช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2024 โดยเริ่มให้บริการในสาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก และกรีซ แม้ว่าจะมาช้ากว่าคู่แข่งรายใหญ่อื่นๆ แต่กลยุทธ์นี้อาจไม่ได้ผิดพลาด เพราะแม้ว่า CFDs จะไม่ได้เพิ่มจำนวนลูกค้าอย่างมหาศาล แต่ก็ยังสร้างรายได้อย่างมั่นคงให้กับบริษัท
ปี 2024 ยังเป็นปีทองของอุตสาหกรรม FX/CFD ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 32% เมื่อเทียบกับต้นปี โดยมีมูลค่าซื้อขายรายเดือนเกือบแตะ 20 ล้านล้านดอลลาร์ (ไม่รวมญี่ปุ่น) ขณะที่ญี่ปุ่นเองก็ทำลายสถิติด้วยการเติบโตของปริมาณซื้อขาย FX ค้าปลีกกว่า 80% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2023
ในด้าน Prop Trading หรือแพลตฟอร์มการเทรดแบบ Prop ก็ได้รับความนิยมสูงสุดในปีนี้ โบรกเกอร์รายใหญ่หลายราย เช่น OANDA, Axi, และ IC Markets ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Prop Trading ของตัวเองเพื่อรองรับความต้องการนี้ ขณะที่บางแพลตฟอร์ม Prop Trading เริ่มขยับตัวเข้าสู่สถานะโบรกเกอร์เต็มตัว เช่น FTMO ที่เปิดหน่วยธุรกิจโบรกเกอร์ แม้ว่ายังไม่ได้รับใบอนุญาตเต็มรูปแบบ
MetaQuotes ซึ่งเป็นผู้พัฒนา MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการด้วยการแบนแพลตฟอร์ม Prop Trading ที่ให้บริการลูกค้าในสหรัฐฯ ส่งผลให้หลายบริษัทต้องหาแพลตฟอร์มใหม่ เช่น cTrader และ DXtrade ซึ่งรองรับนักเทรดได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ MetaQuotes ยังได้แจ้งว่าจะปรับขึ้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตสำหรับแพลตฟอร์ม MetaTrader ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 แม้ว่าจะยังครองตำแหน่งผู้นำตลาด แต่คำถามคือ ความนิยมนี้จะยืนยาวแค่ไหน?
ในส่วนของ AI ฟินเทคในปีนี้ก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะในเอเชียซึ่งคาดว่าจะดึงดูดมูลค่ากว่า $65 พันล้านภายในปี 2025 การนำ AI มาใช้ไม่เพียงช่วยในการจัดการพอร์ตลงทุน แต่ยังช่วยในด้านพื้นฐาน เช่น การสรรหาพนักงานด้วย
ปี 2024 ยังไม่จบ แต่ถือเป็นปีที่สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับวงการคริปโตและฟินเทคอย่างแท้จริง แล้วปี 2025 จะนำพาอะไรมาให้เราอีก?
