BlackRock Inc. บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมูลค่า 11.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้รับใบอนุญาตเชิงพาณิชย์ในการดำเนินงานในอาบูดาบี
บริษัทวางแผนที่จะขอการอนุมัติตามกฎระเบียบเพื่อดำเนินการใน Abu Dhabi Global Market (ADGM) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศที่มีบริษัทการเงินและคริปโตเติบโตอย่างรวดเร็ว
การขยายตัวครั้งนี้จะช่วยให้ BlackRock สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ผู้จัดการความมั่งคั่ง และเครื่องมือการลงทุนในอาบูดาบี โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโซลูชั่นการลงทุนที่ยั่งยืน
Charles Hatami หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการในตะวันออกกลางของ BlackRock กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของอาบูดาบีสู่ศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก โดยชี้ให้เห็นว่า:
“ทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ นโยบายภาครัฐที่ก้าวหน้า และความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืน ทำให้อาบูดาบีเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับตลาดทุน”
ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามของอาบูดาบีในการแข่งขันกับดูไบและริยาด เพื่อเป็นศูนย์กลางธุรกิจหลักของภูมิภาค
อาบูดาบีได้ดำเนินการอย่างแข็งขันในการดึงดูดตลาดทุนทั่วโลก และได้มีการลงทุนครั้งสำคัญใน AI และการเงินดิจิทัล
การขยายตัวของ BlackRock เกิดขึ้นท่ามกลางการลงทุนด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นในอาบูดาบี รวมถึงการระดมทุนมูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐของ Microsoft สำหรับ G42 บริษัทเทคโนโลยี AI
แม้ว่า BlackRock จะยังไม่ได้ระบุว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในอาบูดาบี แต่ความสนใจระดับโลกของบริษัทในเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น AI ทำให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในภูมิภาคที่เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับคริปโต
BlackRock มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการนำคริปโตมาใช้ มากกว่าบริษัทอื่นๆ ในโลก
ไม่นานมานี้ กองทุน iShares Bitcoin Trust (IBIT) ของ BlackRock มียอดสินทรัพย์สุทธิแซงหน้ากองทุน iShares Gold ETF (IAU) โดยมียอดสินทรัพย์สุทธิถึง 33.17 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน ภายในเวลาไม่ถึงปีหลังจากเปิดตัว
นอกจากนี้ กองทุน ETF Bitcoin แบบสปอต (IBIT) ของบริษัทก็มีการไหลเข้ามาถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียวกัน ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับที่ Bitcoin ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 76,943 ดอลลาร์ในเดือนนี้ และ ATH ใหม่ตอนนี้อยู่ที่ 93,000 ดอลลาร์
ยอดไหลเข้าดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ ของยอดไหลออก และคิดเป็น 82% ของยอดไหลเข้าทั้งหมด 1.34 พันล้านดอลลาร์ในกองทุน ETF Bitcoin สปอตที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ในวันนั้น
การขยายธุรกิจของ BlackRock สู่ภูมิภาคตะวันออกกลางยังรวมถึงการมีบทบาทสำคัญในซาอุดีอาระเบีย
เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทประกาศแผนที่จะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในริยาด โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสาธารณะซาอุดีอาระเบีย (PIF) สูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในตะวันออกกลาง
บริษัทได้ทำงานร่วมกับ Sheikh Tahnoon bin Zayed Al Nahyan แห่งอาบูดาบีในโครงการขนาดใหญ่ เช่น การจัดหาเงินทุนสำหรับคลังข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
นอกจากนี้ BlackRock ยังเสริมทีมผู้นำในภูมิภาค โดย Mohammad Alfahim ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายธุรกิจใน UAE และ Ben Powell ได้ย้ายมาตำแหน่งหัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนประจำตะวันออกกลางและเอเชียแปซิฟิกคนแรกของบริษัท
นอกจากนี้ BlackRock กำลังขยายกองทุน BlackRock USD Institutional Digital Liquidity Fund (BUIDL) ซึ่งเป็นกองทุนสินทรัพย์โลกจริง (RWA) ที่ใหญ่ที่สุดโดยขยายการเข้าถึงไปยังห้าบล็อกเชนเพิ่มเติม ได้แก่ Aptos, Arbitrum, Avalanche, Optimism’s OP Mainnet และ Polygon
ก่อนหน้านี้กองทุนดังกล่าวจำกัดอยู่เฉพาะบน Ethereum การขยายตัวนี้ช่วยให้สามารถผสานรวมกับระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ได้ลึกยิ่งขึ้น
สิ่งนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันและคลังโปรโตคอลสามารถใช้ประโยชน์จากผลตอบแทนที่มั่นคงและใช้เป็นหลักประกันในการซื้อขาย DeFi ได้มากขึ้น
กองทุนนี้ได้รับการโทเค็นโดย Securitize และได้รับการสนับสนุนจากตั๋วเงินคลังของสหรัฐฯ กองทุนดังกล่าวมียอดเงินฝากกว่า 520 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนำหน้าในตลาดตั๋วเงินคลังแบบโทเค็นมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์
