เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม มีรายงานว่า Meitu บริษัทเทคโนโลยีจากจีน ได้ขายสินทรัพย์คริปโตของตนออกไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทลงทุนใน Bitcoin มูลค่า 49.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (76.84 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย) และ Ether มูลค่า 50.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (78.39 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย) Meitu สามารถทำกำไรได้ถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (124.2 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย) จากการขายสินทรัพย์คริปโตมูลค่ารวม 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (279.4 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย)
Meitu เปิดเผยว่าบริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการขายมาจัดสรรประมาณ 80% เพื่อจ่ายเป็นเงินปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้น และใช้ส่วนที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพและการออกแบบที่เน้นระบบสมัครสมาชิก
ขณะนี้ Meitu กำลังหันมามุ่งเน้นที่ธุรกิจหลักของบริษัท เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านภาพถ่าย วิดีโอ และการออกแบบ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังระบุว่าการขายสินทรัพย์คริปโตในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีในการทำกำไรจำนวนมากจากการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีที่ผ่านมา
จากแถลงการณ์ของ Meitu พบว่าธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านภาพถ่าย วิดีโอ และการออกแบบกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และบริษัทกำลังเปลี่ยนจุดสนใจจากคริปโตเคอร์เรนซีไปยังเทคโนโลยี AI
การถอนตัวของ Meitu ออกจากตลาดคริปโตทำให้ตอนนี้บริษัท Metaplanet และ Nexon ของญี่ปุ่น รวมถึง Brooker Group (BROOK) จากประเทศไทย กลายเป็นผู้ถือ Bitcoin รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับข้อมูลล่าสุดจาก BiTBO พบว่า Nexon ซึ่งเป็นบริษัทเกมจากเกาหลีใต้ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในญี่ปุ่น ถือ Bitcoin จำนวน 1,717 BTC ในขณะที่ Metaplanet ถือ 1,142 BTC และ Brooker Group ถือ 1,150 BTC
ในระดับโลก ผู้ถือ Bitcoin รายใหญ่ยังคงเป็น MicroStrategy ที่นำโดย Michael Saylor โดยบริษัทถือครอง Bitcoin ทั้งหมด 402,100 BTC ล่าสุดพวกเขาเพิ่งซื้อเพิ่มอีก 15,400 BTC ซึ่งนับเป็นหนึ่งในดีลการซื้อที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้ โดยต้นทุนเฉลี่ยของการซื้อ Bitcoin ของ MicroStrategy อยู่ที่ประมาณ 58,263 ดอลลาร์สหรัฐ (90,528 ดอลลาร์ออสเตรเลีย) ต่อเหรียญ
